ไมนัสรุกลูกค้าแมสเจาะโมเดิร์นเทรด

21 07 2011

Analysis

บริษัทมีแผนการรุกสินค้าเข้าสู่ตลาดแมส จากเดิมที่วางตำแหน่งสินค้าไว้ในตลาดโพรเฟสชันนัล ที่เน้นการแนะนำสินค้าผ่านแพทย์และร้านขายยาเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นการขยายฐานลูกค้าของไมนัส ซันออกไปอีก เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มใหม่ได้หาซื้อสินค้าที่มีคุณภาพได้ง่ายยิ่งขึ้น  สำหรับมูลค่าตลาดครีมกันแดดสำหรับผิวหน้า  ตลาดโพรเฟสชันนัล ไมนัส-ซัน เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งประมาณ 70% โดยแผนการขยายแบรนด์เข้าสู่ตลาดแมสนั้น บริษัทจะเน้นการเพิ่มช่องทางจำหน่ายในกลุ่มโมเดิร์นเทรดมากขึ้น ผ่านเทสโก้ โลตัส ท็อปซูเปอร์มาร์เก็ต บิ๊กซี วัตสัน ด้วยการเพิ่มเอสเคยูใหม่ของสินค้าเข้าไปในตลาด รวมทั้งได้มีการปรับโฉมสินค้าใหม่เพื่อความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลดีในแง่ของการแย่งส่วนแบ่งตลาดจากลูกค้าของแบรนด์ที่ขายในโมเดิร์นเทรดอยู่แล้วก็ได้

ในการใช้กลยุทธ์เชิงรุกนี้ ไมนัส ซันจะใช้กลยุทธ์ซีอาร์เอ็ม ผ่านทางเฟซบุ๊ก รวมทั้งมีการแจกสินค้าตัวอย่างด้วย โดยแนวโน้มการเติบโตของตลาดครีมกันแดด ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เหตุผลมาจากการขยายตัวของคลินิกความงาม ถือว่าไมนัส ซันนั้นยังอยู่ในช่วงของตลาดแบบ Growth การใช้กลยุทธ์เชิงรุกในลักษณะนี้จึงถือว่ามีความเหมาะสมอย่างยิ่ง

Appendix

ไมนัสรุกลูกค้าแมสเจาะโมเดิร์นเทรด       

ไมนัส ปรับภาพลักษณ์เร่งขยายตลาดระดับแมส เข็นสินค้าผ่านโมเดิร์นเทรดมากขึ้น พร้อมงัดกลยุทธ์ CRM ขยายฐานลูกค้า เตรียมส่งสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดเพิ่มไลน์สินค้า ขณะที่แผนการส่งออกเล็งตั้งตัวแทนจำหน่ายรุกมาเลเซีย สิงคโปร์

นายพรชาย พิริยบรรเจิด กรรมการผู้จัดการ บริษัท แพน ราชเทวี กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์กันแดดภายใต้แบรนด์ไมนัส-ซัน เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้จัดแคมเปญแจกโชครับร้อน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก เห็นได้จากการที่มีกลุ่มผู้บริโภคร่วมส่งชิ้นส่วนเข้ามากว่า 15,000 ชิ้น และส่งผลให้ยอดขายในไตรมาสที่สองที่ผ่านมามีการเติบโตกว่า 25% หรือคิดเป็นรายได้ประมาณ 39 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ดังนั้นแผนการรุกตลาดของไมนัส-ซันนับจากนี้ไป บริษัทมีแผนการรุกสินค้าเข้าสู่ตลาดแมส จากเดิมที่วางตำแหน่งสินค้าไว้ในตลาดโพรเฟสชันนัล ที่เน้นการแนะนำสินค้าผ่านแพทย์และร้านขายยาเป็นหลัก

สำหรับมูลค่าตลาดครีมกันแดดสำหรับผิวหน้าในปัจจุบันมีประมาณ 800 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดโพรเฟสชันนัล 350 ล้านบาท และตลาดทั่วไปหรือตลาดระดับแมส 450 ล้านบาท โดยมีแบรนด์ลอรีอัลเป็นผู้นำตลาด โดยในส่วนของตลาดโพรเฟสชันนัล ไมนัส-ซัน เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งประมาณ 70% โดยแผนการขยายแบรนด์เข้าสู่ตลาดแมสนั้น บริษัทจะเน้นการเพิ่มช่องทางจำหน่ายในกลุ่มโมเดิร์นเทรดมากขึ้น ผ่านเทสโก้ โลตัส ท็อปซูเปอร์มาร์เก็ต บิ๊กซี วัตสัน ด้วยการเพิ่มเอสเคยูใหม่ของสินค้าเข้าไปในตลาด รวมทั้งได้มีการปรับโฉมสินค้าใหม่เพื่อความทันสมัยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เพื่อเป็นการขยายตลาดในระดับแมส บริษัทได้ทำการรีลอนช์ผลิตภัณฑ์เจลล้างหน้าภายใต้แบรนด์ไมนัสออกสู่ตลาดด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค

“ในการรุกตลาดเพื่อเจาะเข้าตลาดระดับแมสนั้น บริษัทได้วางเป้าหมายไว้ว่าอีก 1 ปีนับจากนี้จะสามารถมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มนี้ได้ประมาณ 5% โดยการรุกตลาดนี้ จะไม่ใช้สื่อโฆษณาเป็นหลัก แต่จะใช้กลยุทธ์ซีอาร์เอ็ม ผ่านทางเฟซบุ๊ก รวมทั้งมีการแจกสินค้าตัวอย่างเพื่อให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้ 50,000-100,000 ชิ้น นอกจากนี้การที่บริษัทหันมาขยายช่องทางผ่านโมเดิร์นเทรดมากขึ้นนั้น เนื่องจากตลาดช่องทางร้านขายยามีการเติบโตที่ลดลง ข้อมูล ล่าสุดในปีที่ผ่านมาพบว่า สินค้าที่จำหน่ายผ่านช่องทางร้านขายยามีการเติบโตติดลบประมาณ 2% ยกเว้นร้านขายยาที่เป็นเชนและร้านขายยาในโรงพยาบาลที่มีการเติบโตอยู่ ซึ่งเหตุผลหลักมาจากผู้บริโภคที่มีบัตรทอง หันไปใช้บริการตามสถานพยาบาลมากขึ้น ทำให้ยาสามัญประจำบ้านพื้นฐานที่เคยจำหน่ายได้ มีปริมาณลดลง และเกิดจากการเข้มงวดของข้อกฎหมายที่ระบุให้ร้านขายยาต้องมีเภสัชกรประจำร้าน ทำให้ร้านขายยาบางแห่งมีระยะเวลาการเปิดให้บริการที่ลดลง”

นายพรชาย กล่าวต่อไปว่า แนวโน้มการเติบโตของตลาดครีมกันแดด ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหตุผลมาจากการขยายตัวของคลินิกความงามที่ส่วนใหญ่แพทย์จะแนะนำให้ลูกค้าใช้ครีมกันแดดเป็นสินค้าพื้นฐาน ทำให้เมื่อลูกค้ากลุ่มนี้เลิกใช้บริการในคลินิกความงามแล้ว จะหาซื้อครีมกันแดดเพื่อใช้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในการขยายตลาดแมส บริษัทมีเป้าหมายต้องการให้กลุ่มลูกค้าที่ใช้สินค้าครีมกันแดดทุกวันที่ปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 30% เพิ่มเป็น 40-45% ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ส่วนอีก 70% เป็นกลุ่มลูกค้าที่ใช้ครีมกันแดดเฉพาะโอกาสเท่านั้น อาทิ ออกกำลังกาย ท่องเที่ยว

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการขยายตลาดไปยังต่างประเทศในกลุ่มอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะปีนี้จะขยายตลาดไปในประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยเน้นผ่านตลาดในระดับโพร เฟสชันนัลผ่านตัวแทนจำหน่ายเพื่อทดลองตลาด ขณะที่ในประเทศเวียดนามนั้น อยู่ในการศึกษารายละเอียดว่ามีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน ขณะที่รายได้รวมในปีนี้ตั้งเป้าเติบโตประมาณ 18%

 Source : จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,651  10-13  กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ข่าวเกี่ยวกับ : Offensive Strategy

นส. นาทฤดี  จงสมัคร   5220224127


Actions

Information

Leave a comment