‘ชิเซโด้’ลุยตลาดครึ่งปีหลัง!

10 09 2011

Strategy: กลยุทธ์เชิงชนะโดยไม่ต้องรบ (Win W/O War) of Human Relation Save และกลยุทธ์เชิงรุก (Offensive) By Innovation

ชื่อ – นามสกุล:      นางสาว มณฑา  มากมี                           รหัส :      5220224154

Issue 1   :               ชิเซโด้’ลุยตลาดครึ่งปีหลัง!

Date:                      Week 13 Sep 10’2011

Industry:                 ธุรกิจประเภทน้ำหอม

Strategy:                กลยุทธ์เชิงชนะโดยไม่ต้องรบ (Win W/O War ) แบบ “Human Ration Save” โดยการการยึดหลักศาสตร์และศิลป์ โดยศาสตร์จะเป็นเรื่องของนวัตกรรมและเทคโนโลยี สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ส่วนศิลป์ คือ น้ำหอม ที่เน้นการพัฒนากลิ่นให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ พร้อมๆ กับการดีไซน์แพ็กเกจจิ้งเป็นการนำกลยุทยฺเชิงรุก(Offensive) By Innovation

 Competitor :         ซีเอ็มจี, ลอรีอัล, เพรสทีจ, ลักส์เอเชีย เป็นต้น

 ประเด็นข่าว :         ชิเซโด้ ชูจุดแข็ง ศาสตร์และศิลป์ บุกตลาดน้ำหอม มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน ล่าสุด ส่งน้ำหอมเอลี ซาบ รักษาส่วนแบ่งตลาด กว่า 20% ครึ่งปีหลังลุยตลาดแมสทีจและเพรสทีจ อัดแน่นสกินแคร์และเมกอัพ พร้อมเดินหน้าลุยกิจกรรมการตลาด ดันยอดรายได้ขยายตัวต่อเนื่อง จากตลาดน้ำหอมที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นตัวแทนนำเข้าและจำหน่ายน้ำหอมประมาณ 5 ราย ใหญ่ อาทิ ซีเอ็มจี, ลอรีอัล, เพรสทีจ, ลักส์เอเชีย และชิเซโด้ ซึ่งมีการประเมินมูลค่าตลาดไว้กว่า 1,000 ล้านบาท

Advantage:            บริษัทได้ประสบความสำเร็จกับยอดขายของครีมกันแดด ซีเอ ทรู ไวท์ พาวเวอร์ บล็อก ยูวี โดยการนำ นักแสดงดาวรุ่งของไทยมาเป็นพรีเซนเตอร์ โดยถือเป็นครั้งแรกที่ชิเซโด้เลือกใช้พรีเซนเตอร์คนไทย รวมถึงทำหนังโฆษณาชุดใหม่เพื่อออกอากาศในไทยและทั่วเอเชียเริ่มรู้แนวทางในการเข้าถึงตลาดในเอเชียรวมถึงการเข้าใจความต้องการของรู้ค้าจากการนำศาสตร์และศิลป์มาผสมผสานออกมาเป็นนำหอมตัวใหม่ที่ช่วยในการดึงลูกค้าในตลาดน้ำหอมได้

Analysis:               กลยุทธ์เชิงชนะโดยไม่ต้องรบ (Win W/O War) แบบ “Human Ration Save” โดยการการยึดหลักศาสตร์และศิลป์ โดยศาสตร์จะเป็นเรื่องของนวัตกรรมและเทคโนโลยี สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ส่วนศิลป์ คือ น้ำหอม ที่เน้นการพัฒนากลิ่นให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ และเข้าใจพฤติกรรมการใช้น้ำหอมจองคนเอเชียที่ไม่ได้มีมากเท่าคนยุโรปรวมถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคพร้อมๆ กับการดีไซน์แพ็กเกจจิ้งเป็นการนำกลยุทยฺเชิงรุก (Offensive) By Innovation

 Rating :                  P1 = Positive  P2 = Powerful

‘ชิเซโด้’ลุยตลาดครึ่งปีหลัง!

ชิเซโด้ ชูจุดแข็ง ศาสตร์และศิลป์ บุกตลาดน้ำหอม มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน ล่าสุด ส่งน้ำหอมเอลี ซาบ รักษาส่วนแบ่งตลาด กว่า 20% ครึ่งปีหลังลุยตลาดแมสทีจและเพรสทีจ อัดแน่นสกินแคร์และเมกอัพ พร้อมเดินหน้าลุยกิจกรรมการตลาด ดันยอดรายได้ขยายตัวต่อเนื่อง จากตลาดน้ำหอมที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นตัวแทนนำเข้าและจำหน่ายน้ำหอมประมาณ 5 ราย ใหญ่ อาทิ ซีเอ็มจี, ลอรีอัล, เพรสทีจ, ลักส์เอเชีย และชิเซโด้ ซึ่งมีการประเมินมูลค่าตลาดไว้กว่า 1,000 ล้านบาท โดยแต่ละปีตลาดขยายตัวประมาณ 10-15% หรือบางปีการเติบโตจะลดลงตามสภาพเศรษฐกิจ นายมาซาโตะ ยามาดะ กรรมการผู้จัดการ บริษัทชิเซโด้ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ชิเซโด้เป็นหนึ่งในแบรนด์ผู้นำ ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มน้ำหอมใกล้เคียงกันใน 4-5 กลุ่มผู้นำเข้า คือประมาณกว่า 20% โดยมีแบรนด์น้ำหอมของชิเซโด้ ได้แก่ เซน (Zen), Relaxing & Energizing Fragrance และแบรนด์จากโบเต้ เพรสทีจ (Beaute Prestige International : BPI) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ มีน้ำหอม 3 ไลน์ ได้แก่ อิซเซ่ มิยากิ (Issey Miyake), ฌอง ปอล โกติเยร์ (Jean-Paul Gaultier) และ นาร์ซิสโซ่ โรดริเกส (Narciso Rodriguez) และล่าสุด ได้เปิดตัวอีก 1 แบรนด์ คือ เอลี ซาบ (Elie Saab) เมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา มาซาโตะ ยามาดะ   “ยอดรายได้จากตลาดน้ำหอมของชิเซโด้ ไม่ได้ใหญ่มาก สำหรับตลาดเอเชีย มีสัดส่วนน้อยกว่า 5% ของรายได้ ส่วนตลาดยุโรปจะใหญ่กว่า ตามพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ที่นิยมใช้น้ำหอมมากกว่าคนเอเชีย” นายยามาดะกล่าวและว่า  ปีนี้มีแบรนด์เอลี ซาบ จะช่วยทำให้ตลาดขยายตัวขึ้น ขณะที่แบรนด์ที่ทำยอดขายสูงสุดให้กับชิเซโด้ ยังเป็นแบรนด์ อิซเซ่ มิยากิ สำหรับตลาดน้ำหอม เป็นตลาดที่มีจำนวนผู้ใช้จำกัด คนที่ซื้อก็จะซื้อต่อเนื่อง และช่วงที่สร้างยอดขายสูง จะเป็นช่วงเทศกาลเป็นหลัก โดยแนวทางการกระตุ้นยอดขายของชิเซโด้ คือ การยึดหลักศาสตร์และศิลป์ โดยศาสตร์จะเป็นเรื่องของนวัตกรรมและเทคโนโลยี สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ส่วนศิลป์ คือ น้ำหอม ที่เน้นการพัฒนากลิ่นให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ พร้อมๆ กับการดีไซน์แพ็กเกจจิ้ง

   นายยามาดะ กล่าวอีกว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ของชิเซโด้ ยังเป็นกลุ่มที่สร้างยอดขายสูงสุด โดยครึ่งปีที่ผ่านมาชิเซโด้สามารถสร้างยอดขายเติบโตจากปีที่แล้ว จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ แมสทีจ และกลุ่มเพรสทีจ หรือกลุ่มไฮเอนด์ขณะที่ครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว ประสบปัญหา จากการปิดห้าง สำหรับครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนที่จะส่งทั้งกลุ่มสินค้าเพรสทีจ และแมสทีจออกสู่ตลาดเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นยอดขาย อาทิ ชิเซโด้ ฟิวเจอร์โซลูชั่น แอลเอ็กซ์ เซรั่ม และยังมีแผนออกผลิตภัณฑ์สกินแคร์ตัวใหม่ นอกจากนี้ ในกลุ่มแมสทีจ จากช่วงต้นปีที่ผ่านมา แบรนด์ซีเอ (ZA) ประสบความสำเร็จกับยอดขายของครีมกันแดด ซีเอ ทรู ไวท์ พาวเวอร์ บล็อก ยูวี ซึ่งมีการดึง ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่ นักแสดงดาวรุ่งของไทยมาเป็นพรีเซนเตอร์ โดยถือเป็นครั้งแรกที่ชิเซโด้เลือกใช้พรีเซนเตอร์คนไทย รวมถึงทำหนังโฆษณาชุดใหม่เพื่อออกอากาศในไทยและทั่วเอเชีย พร้อมกันนี้จะทำโปรโมชันร่วมกับร้านค้าตัวแทนจำหน่าย เปิดตัวเคาน์เตอร์สินค้าในห้างมากขึ้น โดยชิเซโด้มีเป้าหมายในการผลักดันยอดขายของซีเอให้เติบโตในตลาดเอเชีย สำหรับครึ่งปีหลัง ซีเอจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดต่อเนื่อง อาทิ มาสคารา พร้อมกับการทำกิจกรรมการตลาด ซึ่งชิเซโด้มีการทำกิจกรรมในทุกแบรนด์ของกลุ่มชิเซโด้ต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นการรับรู้และสร้างยอดขายอยู่แล้ว

   ส่วนในตลาดประเทศไทย ผู้บริหารได้กล่าวก่อนหน้านี้ว่า หลังจากนำคนไทยมาเป็นพรีเซนเตอร์ และทำให้แบรนด์ใกล้ชิดกับคนไทยมากขึ้น จะสามารถสร้างยอดขายซีเอให้เติบโตเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่เป้าหมายยอดขายของสิ้นปีนี้ คาดเติบโตเป็นตัวเลขมากกว่า 2 หลัก และผลักดันแบรนด์เครื่องสำอางกลุ่มแมสทีจขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดอาเซียนภายใน 3 ปี จากปัจจุบันเป็นผู้นำในตลาดเครื่องสำอางระดับเพรสท  ก่อนหน้านี้ นายคาร์สตัน ฟิชเชอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรอาวุโส บริษัท ชิเซโด้ (ประเทศญี่ปุ่น) กล่าวว่า ชิเซโด้เตรียมงบรุกตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้นมาก พร้อมทั้งเลือกไทยเป็นประเทศหลัก และใช้กลุ่มผลิตภัณฑ์แมสทีจเป็นตัวรุก เนื่องจากยอดขายของแมสทีจเติบโตมากกว่ากลุ่มเพรสทีจถึง 2 เท่าตัว โดยอีก 10 ปีข้างหน้า จำนวนประชาชนที่มีรายได้ระดับปานกลางจะมีเพิ่มเป็น 460 ล้านครัวเรือน จากปัจจุบัน 60 ล้านครัวเรือน สำหรับแบรนด์เพรสทีจในเครือชิเซโด้ ประกอบด้วย ชิเซโด้ (Shiseido), เคลย์ เดอ โป โบเต้ (Clé de peau beauté), เอตูเซ่ส์ (ettusais), อิปซ่า (ÍPSA), นาร์ส (NARS) ส่วนกลุ่มแมสทีจ ประกอบด้วย ซีเอ (ZA) มาจอลิกามาจอร์กา (Majolica Majorca ) และอควาเลเบล (AQUA LABEL)

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,668  8-10  กันยายน พ.ศ. 2554

http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=82447:2011-09-06-03-17-40&catid=106:-marketing&Itemid=456


Actions

Information

Leave a comment